Thursday, March 28, 2024
HomeAuto Newsไฮไลท์หลากค่ายรถยุโรป ในงาน Frankfurt Motor Show 2017

ไฮไลท์หลากค่ายรถยุโรป ในงาน Frankfurt Motor Show 2017

ประเทศเยอรมันถือเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีที่สรรสร้างยนตรกรรมหลากแบรนด์จนสร้างชื่อเสียงและเป็นต้นทางของเทรนด์การผลิตรถยนต์เพื่อจำหน่ายสู่ตลาดโลก การรวมตัวของเหล่าค่ายผู้ผลิตรถยนต์จึงถือกำเนิดเป็นประจำ โดยใช้งานแสดงยนตรกรรมเป็นเวทีปล่อยของ ซึ่ง Frankfurt Motor Show 2017 ก็ถือเป็นงานประชันดาวเด่นดวงใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เหล่าผุ้ผลิตได้นำมาจัดแสดงให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชม

ทีเด็ดของค่ายรถยุโรป ซึ่งแต่ละแบรนด์ล้วนมีนวัตกรรมใหม่ๆมาจัดแสดง มาชมกันว่าไฮไลท์ในงานนี้มีอะไรบ้าง

Audi Aicon Concept

เริ่มกันที่ค่ายสี่ห่วง เทคโนโลยีการขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 5 ที่รถยนต์สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ขับขี่แต่อย่างใด Audi นำมาแสดงให้เห็นใน Aicon คอนเซปท์คาร์คันนี้ซึ่งเมื่อไม่จำเป็นต้องมีผู้ขับขี่ภายในห้องโดยสารทีมงานออกแบบจึงสามารถถ่ายทอดจินตนาการได้อย่างเต็มที่ดังเช่นภายในห้องโดยสารของ Aicon ที่ Audi บอกว่าเหมือนกับอยู่ในห้องโดยสารระดับเฟริสต์คลาสของเครื่องบินโบอิ้ง 747 ที่ขาดแต่เพียงห้องน้ำเท่านั้น เบาะนั่งออกแบบให้เหมือนกับเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านมากกว่าเป็นเบาะนั่งในรถยนต์ทั่วไปเบาะคู่หน้าสามารถปรับตำแหน่งได้ 360 องศาเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้เป็นห้องประชุม, ห้องสันทนาการเพื่อความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นการชมภาพยนตร์, การหาความเพลิดเพลินในโลกโซเชี่ยวมีเดียจากหน้าจอดิสย์เพลย์รวมถึงกระจกบังลมที่สามารถใช้เป็นจอภาพยนตร์หรือจอวีดีโอเทเลคอนเฟอร์เร้นซ์ และเมื่อรถยนต์สามารถเคลื่อนที่ได้เองโดยไม่ต้องใช้ผู้ขับขี่อุปกรณ์ต่างๆ

สำหรับการบังคับควบคุมระบบขับเคลื่อนก็ไม่จำเป็นต้องมีด้วยเช่นกันซึ่งนำไปสู่การเกิดขึ้นของนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกมากมายเช่นเมื่อไม่มีผู้ขับขี่การมองเห็นสภาพต่างๆ ภายนอกก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับผู้อยู่ภายในห้องโดยสารด้วยเช่นกันโดย Aicon ก็ยังคงมีรูปแบบของการส่องสว่างแบบดิจิตัลที่ถ่ายทอดข้อมูลต่าง ๆ ลงบนพื้นถนนเพื่อให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติคันอื่นรับรู้ได้และการทำหน้าที่คล้ายกับดวงตาที่สายตาจับจ้องไปยังคน, วัตถุต่าง ๆ หรือรถยนต์คันอื่นแม้ในขณะที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ก็ตาม

ในยามค่ำคืนเลเซอร์และเซนเซอร์ต่าง ๆ จะเข้ามาทำหน้าที่แทนไฟสูงเพื่อให้รถรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมภายนอกขณะที่ไฟต่ำยังคงถูกใช้เพื่อให้คนเดินเท้ารับรู้ได้ถึงการมีรถยนต์กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาเป็นต้น

ถึงแม้ Audi Aicon จะเน้นไปเรื่องของความสะดวกสบายในการเดินทางเมื่อใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแต่เรื่องของสมรรถนะในการเดินทาง Audi ก็ไม่ได้มองข้ามโดย Aicon ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลามีมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวติดตั้งที่เพลาหน้าและหลังแรงม้ารวม 350 แรงม้าความเร็วสูงสุด 128 กม./ชม. เดินทางได้เป็นระยะทาง 7-800 กิโลเมตรสำหรับการชาร์จไฟเต็มที่ 1 ครั้งและเมื่อต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมสามารถค้นหาเส้นทางไปสถานีเติมพลังได้เองโดยใช้เวลาเพียง 30 นาทีสำหรับการชาร์จไฟประมาณ 80%

BMW i Vision Dynamics
ผลงานต่อเนื่องจาก BMW Next 100 Vision ที่ปรากฏเด่นชัดบนแสตนด์ของ BMW คือ i Vision Dynamics ที่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงทิศทางในอนาคตที่ BMW Group กำลังจะก้าวเดินไปข้างหน้าภายใต้กลยุทธ์ Next ซึ่งหมายถึงรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และเป็นการยืนยันแนวทางการพัฒนารถยนต์ให้สอดรับกับกลยุทธ์นี้อย่างชัดเจน ดังนั้น i Vision Dynamics ที่เห็นอาจจะไม่ใช่แค่ Concept Car แต่เป็นไปได้ที่จะขึ้นสายการผลิตในอนาคตอันใกล้ตามที่ผู้บริหาร BMW ระบุว่าภายในปี 2025 จะมีรถพลังงานไฟฟ้ารูปแบบต่างๆออกสู่ตลาดไม่ต่ำกว่า 25 รุ่น

i Vision Dynamics เป็นรถสไตล์ 4 ประตูคูเป้ Gran Coupe เป็น segment ใหม่ เพิ่มจาก i8 และ i3 ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า สามารถวิ่งได้ไกลถึง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ทำอัตราเร่งถึง 100 กม./ชม. ใน 4.0 วินาที และมีความเร็วสูงสุดเกินกว่า 200 กม./ชม. และเริ่มมีระบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองแบบกึ่งอัตโนมัติ semi- autonomous เข้ามาใช้งานเป็นครั้งแรก มีระบบกล้องและเซ็นเซอร์รอบคัน ทำงานช่วยเหลือผู้ขับในรูปแบบต่างๆ มากมาย พร้อมระบบ Infotainment ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายได้อย่างเต็มรูปแบบ

ความน่าสนใจของ i Vision Dynamics ไม่ได้อยู่ที่ระบบขับเคลื่อนและสมรรถนะที่พัฒนาไปไกลเท่านั้น แต่งานออกแบบยังบ่งบอกถึงความเป็น BMW ในวันต่อไปอย่างมาก มีความทันสมัยอย่างที่อาจจะดูแปลกตา แต่ยังคงยึดถือรูปทรงที่สื่อถึงพลศาสตร์ (Dynamics) จุดเด่นของการออกแบบคือ ด้านข้างตัวถังและกระจกหน้าต่างเรียบสนิทเป็นส่วนเดียวกัน ตั้งแต่หน้าจนถึงท้ายรถ เช่นเดียวกับกระจกหน้าจะเป็นชิ้นเดียวยาวคลุมหลังคาถึงท้าย ซึ่งแสดงถึงความล้ำสมัยและทำให้ผู้โดยสารทั้งหน้าและหลังมีทัศนวิสัยที่ปลอดโปร่งไม่ต่างกัน

ด้านหน้านั้น เอกลักษณ์ ไตคู่ ของ BMW ยังคงอยู่แต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไปให้นักออกแบบได้ทำงานอย่างบรรเจิดมากขึ้น เพราะไม่ต้องการช่องลมระบายอากาศแบบเดิมแล้ว จึงถูกปิดและเก็บซ่อนบรรดากล้อง และเซนเซอร์จำนวนมากเอาไว้ ไฟหน้า LED รูปแบบใหม่ ทำให้เกิดความทันสมัยอย่างยิ่ง คาดว่าไม่เกินปี 2020 เราจะได้เห็น BMW ในรูปแบบนี้บนโชว์รูม

BMW Concept X7 iPerformance

X6 ได้รับการยอมรับให้เป็นราชันย์แห่งรถยนต์สายพันธ์ SUV ของ BMW มาเป็นเวลานานแล้วแต่ตำแหน่งนี้กำลังจะเปลี่ยนมือจาก X6 ไปเป็น X7 ที่ BMW จะนำเสนอคอนเซปท์แนวคิดของ SUV โมเดลใหม่นี้ผ่านทาง BMW Concept X7 iPerformance ในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ครั้งนี้

BMW Concept X7 iPerformance มาพร้อมกับระยะห่างฐานล้อที่ขยายยาวขึ้นเพื่อการเพิ่มขึ้นของเบาะนั่งแถวที่ 3 โดยมีเสียงเล่าลือว่าอาจจะมีเวอร์ชั่นที่อัพเกรดความหรูหราสะดวกสบายมากขึ้นโดยเป็นเวอร์ชั่น 4 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามจากสิ่งที่เห็นอยู่ในคอนเซปท์คาร์คันนี้เมื่อเข้าสู่ความเป็นรถยนต์ผลิตจำหน่ายจริงซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2018

บางสิ่งบางอย่างจะถูกปรับโทนลงไปบ้างขณะที่บางสิ่งจะถูกปรับเพิ่มมากขึ้นเพื่อความเหมาะสมเช่นกระจังหน้ารูปไตคู่ขนาดใหญ่ยักษ์จะถูกปรับลดขนาดลงขณะที่ชุดไฟหน้า, กระจกมองข้างและไฟท้ายจะขยายสัดส่วนให้ใหญ่ขึ้น

ภายในห้องโดยสารชุดแผงหน้าปัดจะไม่แตกต่างไปจากรถยนต์ BMW เวอร์ชั่นท๊อปที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันเท่าใดนักแต่แน่นอนว่า BMW X7 จะอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยี่ล้ำสมัยและความหรูหราระดับพรีเมี่ยมที่สุดเท่าที่ค่ายใบพัดเครื่องบินฟ้า-ขาวนี้มีให้ใช้ซึ่งว่ากันว่าความหรูหราเลิศล้ำมากกว่านี้หากจะหาจากรถยนต์ในเครือ BMW Group แล้วก็จะมีเพียง Rolls-Royce Cullinan ที่มีกำหนดจะออกจำหน่ายในปี 2018 เช่นเดียวกับ BMW X7 นี้เท่านั้น

รายละเอียดของขุมพลังที่ BMW เลือกนำมาใช้ใน X7 ใหม่นี้ยังไม่เป็นที่เปิดเผยออกมาแต่เมื่อพิจารณาถึงการใช้คำ iPerformance และการมีรูปแบบของฝาถังเชื้อเพลิงแบบพิเศษทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าชุดส่งกำลังของ X7 ใหม่จะเป็นแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริดซึ่งในส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้าน่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่เห็นใน BMW 740e ส่วนเครื่องยนต์สันดาปภายในน่าจะเป็นเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่าเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตรที่ใช้กับรถยนต์ซีดานทั่วไป อย่างไรก็ตามรายละเอียดอย่างเป็นทางการทั้งหมด BMW จะชี้แจงแถลงไขภายในงานอีกครั้งหนึ่ง

Mercedes-AMG Project One

Mercedes-AMG Project One ไฮเปอร์คาร์ระดับเทพของค่ายดาวสามแฉกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ 2017 หลังจากมีการปล่อยภาพทีเซอร์และรายละเอียดคร่าว ๆ ของชุดส่งกำลังออกมายั่วกิเลสนักเลงรถกระเป๋าหนักมาก่อนหน้านี้บ้างแล้วซึ่งตัวจริงของ Project One ก็ไม่สร้างความผิดหวังให้กับผู้ที่รอคอยแต่อย่างใด

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่บ่งบอกถึงสมรรถนะร้อนแรงเป็นพิเศษ ความเฉียบคมของการออกแบบที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเรื่องของแอโร่ไดมานิคส์, ตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด, ความโปร่งนูนของปีกข้างด้านหน้า, ความงดงามของบั้นท้ายพร้อมชุดไฟท้ายที่มีความกว้างเป็นพิเศษ และช่องดูดอากาศบนหลังคาที่นำอากาศไปช่วยในการระบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบชาร์จ 1.6 ลิตรที่ติดตั้งทางด้านหลังซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถแข่ง F1 ของ Mercedes นั่นเอง

นอกจากเครื่องยนต์นี้แล้วยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ด้วยเพื่อเพิ่มพลังไฮบริดให้มากขึ้นโดยแรงม้าที่เกิดขึ้นที่ล้อคู่หลังนี้สูงถึง 500 แรงม้าขณะที่ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ตัวติดตั้งที่ล้อหน้าแต่ละด้านแต่ละตัวมีพละกำลังแรงม้าที่ 161 แรงม้า และมอเตอร์ตัวที่ 4ติดตั้งอยู่กับเทอร์โบชาร์จพละกำลัง 161 แรงม้าเช่นกันรวมแล้วไฮเปอร์คาร์คันนี้มีพละกำลังแรงม้ากว่า 1,000 แรงม้า ระบบส่งกำลังใช้เกียร์ธรรมดากึ่งอัตโนมัติ 8 สปีดมีโหมดการทำงานแบบอัตโนมัติและแมนนวลที่เรียกใช้งานได้จากแป้นเกียร์ที่พวงมาลัย

ตัวเลขสมรรถนะที่น่าสนใจของ Mercedes-AMG Project One อยู่ที่อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาที่ต่ำกว่า 6 วินาที ความเร็วสูงสุดเกินกว่า 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสามารถใช้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนได้เป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร

ภายในห้องโดยสารเร้าใจด้วยรูปแบบของพวงมาลัยที่มาจากรถแข่ง F1 จอดิสยเพลย์สีตัวแรกทำหน้าที่เป็นแผงหน้าปัด จอที่สอง เป็นส่วนของระบบอินโฟเทนเม้นท์ เบาะนั่งสุดสปอร์ต Mercedes-AMG Project One จะผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 275 คันตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 2. 27 ล้านดอลล่าร์สหรัฐและดูเหมือนว่าทั้งหมดจะมีผู้จับจองเป็นเจ้าของเรียบร้อยแล้ว

Skoda Vision E Concept

Vision E ของ Skoda แบรนด์รถยนต์ของสาธารณรัฐเชคที่อยู่ในสังกัดของ Volkswagen Group ที่นำมาโชว์ตัวในแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ครั้งนี้เป็นโมเดลต้นแบบที่ต่อเนื่องมาจากต้นแบบคันแรกที่ถูกนำออกแสดงในงานเซี่ยงไฮ้ออโต้โชว์ที่ประเทศจีนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยการใช้ล้อลายใหม่, แถบไฟ LED ด้านหน้าและการเพิ่มกราฟฟิคที่ไฟท้ายและสัญลักษณ์ Vision E ที่ประตูห้องโดยสารด้านผู้ขับขี่ที่ถูกถอดออกไปเป็นดีไซน์ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปขณะที่การปราศจากอุโมงค์กลางที่พื้นห้องโดยสารและการออกแบบตัวรถที่มีช่วงโอเวอร์แฮงค์ที่สั้นมากทั้งด้านหน้าและด้านหลังทำให้ทีมออกแบบสามารถสร้างสรรค์รูปแบบห้องโดยสารที่มีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษในเรื่องของความกว้างขวางและความสะดวกสบายที่เป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ Skoda ได้อย่างเต็มที่

Skoda Vision E คันนี้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อนสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแรงม้าสูงสุด 306 แรงม้า ใช้งานได้เป็นระยะทาง 500 กิโลเมตรเมื่อชาร์จไฟเต็มความจุ 1 ครั้งซึ่งนอกจาก Vision E จะเป็นรถยนต์ที่ปราศจากการก่อให้เกิดไอเสียคันแรกของ Skoda แล้วยังมีคุณสมบัติพิเศษด้วยการใช้เทคโนโลยี่ขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 ซึ่งหมายถึงสามารถที่จะเร่งแซง, ใช้อัตราเร่งและเบรก, การค้นหาพื้นที่ว่างสำหรับการจอดรถ, การเข้าจอดและออกจากพื้นที่จอดรถได้โดยอัตโนมัติ

Vision E ได้รับการวางตัวเป็นรถยนต์โมเดลแรกของ Skoda ที่เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบและเป็นหนึ่งในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ Volkswagen Group ที่จะทยอยเข้าสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้นี้ สำหรับ Skoda เองตั้งเป้าที่จะมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 5 โมเดลภายในปี 2025โดยใช้แพลทฟอร์มของ Volkswagen ซึ่งโมเดลแรกจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2020

Volkswagen I.D. Crozz II

แนวคิดด้านพลังงานที่เปลี่ยนแปลงมุ่งหน้าสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าภายในปี 2020 ของ Volkswagen ถูกนำแสดงให้เห็นอีกครั้งใน Volkswagen I.D. Crozz II รถยนต์ในสไตล์คอมแพคท์ครอสโอเวอร์ยกสูงที่ต่อยอดจาก I.D.Crozz แต่เพิ่มความน่าสนใจดึงดูดสายตามากขึ้นด้วยสีสันตัวรถแบบทูโทนที่พื้นผิวตัวรถส่วนใหญ่เป็นสีแดงเมทัลลิคขณะที่หลังคาเป็นสีเงิน, ชุดไฟหน้าใหม่, ประตูห้องโดยสารด้านหน้าเปิดแบบปกติทั่วไปขณะที่ประตูห้องโดยสารด้านหลังบานหนึ่งเปิดแบบบานเลื่อนซึ่งในอนาคต VW คาดหวังที่จะได้เห็นการเปิดประตูด้วยเสียงอีกด้วย

VW I.D. Crozz II ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่เพลาหน้าและหลังมีแรงม้ารวมสูงสุด 302 แรงม้าพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มที่ 1 ครั้งสามารถใช้งานได้เป็นระยะทางประมาณ 500 กิโลเมตร ประสิทธิภาพในการบังคับควบคุม VW เคลมว่าอยู่ในระดับเดียวกับ VW Golf GTI จากการใช้ระบบอีเลคทรอนิคควบคุมการทำงานของโช้คอัพและการใช้ระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบมัลติ-ลิ้งค์รุ่นใหม่

ทั้งนี้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าตระกูล I.D. ของ VW ที่จะผลิตจำหน่ายจริงภายในปี 2020 จะเป็นรุ่นตัวถังแบบ 5 ประตูแฮทช์แบคจากนั้นรุ่นผลิตจำหน่ายจริงของ I.D. Buzz จะตามมาในปี 2022 และโมเดลที่ 3 คาดว่าจะเป็นรถยนต์แบบครอสโอเวอร์ที่มีที่มาจาก I.D. Crozz II คันนี้นี่เอง

RELATED ARTICLES

Most Popular