Friday, March 29, 2024
HomeAuto TestTest DriveMercedes-Benz E300 BlueTEC HYBRID ตอบโจทย์ความหรู มีระดับ และประหยัดเชื้อเพลิง

Mercedes-Benz E300 BlueTEC HYBRID ตอบโจทย์ความหรู มีระดับ และประหยัดเชื้อเพลิง

ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักที่ค่ายรถหรูอย่าง เมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดงานทดสอบสมรรถนะด้วยการขับขี่ระยะไกลข้ามประเทศ เพื่อตอกย้ำคุณภาพแห่งเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลไฮบริด ทั้งด้านของสมรรถนะ การประหยัดเชื้อเพลิง และความสะดวกสบาย

กิจกรรมนี้มีชื่อว่า “Mercedes-Benz E 300 BlueTEC HYBRID Test Drive Challenge” โดยความร่วมมือของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย และ มาเลเซีย ซึ่งเชิญสื่อมวลชนของทั้ง 2 ชาติเข้าร่วมพิสูจน์การประหยัดเชื้อเพลิงกับการขับ Mercedes รุ่น E 300 BlueTEC HYBRID ด้วยน้ำมัน 1 ถัง บนระยะทางกว่า 1,500 กม. เส้นทางกัวลาลัมเปอร์-กรุงเทพฯ

การชิงชัยระหว่างนักขับ 2 ประเทศ

รูปแบบการแข่งประหยัดเชื้อเพลิงตามกติกาสากล

พาหนะที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้เป็นรถหรูจากค่ายดาวสามแฉกรุ่น E 300 BlueTEC HYBRID จำนวน 6 คัน แบ่งเป็นสื่อมวลชนจากประเทศไทย และ มาเลเซีย ชาติละ 3 คัน ขับขี่ด้วยความเร็วทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวันประมาณ 80-110 กม. เปิดระบบปรับอากาศตลอดการเดินทาง ขับข้ามประเทศจากกัวลาลัมเปอร์-กรุงเทพฯ ด้วยน้ำมันเพียง 1 ถัง ระยะทางกว่า 1,500 กม.แบ่งการขับขี่ออกเป็น 3 วัน เฉลี่ยวันละ 500 กม. มีจุดพักรถทุกๆ 200 กม. เพื่อเป็นพักผ่อนยืดเส้นคลายเมื่อยให้ผู้ขับขี่ รวมถึงเป็นการบันทึกผลการใช้เชื้อเพลิงในแต่ละช่วงทดสอบ

กัวลาลัมเปอร์-หาดใหญ่

สร้างความคุ้นเคยกับสภาพจราจรรถ และการใช้งานระบบช่วยเหลือต่างๆ

หลังจากทีมงานอธิบายถึงรูปแบบของการขับขี่ที่จะใช้ทดสอบ รถทั้ง 6 คันออกจากจุดสตาร์ทที่ Saujana Hotel ซึ่งอยู่ในแถบชานเมืองของกัวลาลัมเปอร์ มุ่งหน้าสู่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ระยะทางรวม 540 กม. การขับรถในต่างแดนนับว่าเป็นเรื่องที่ต้องสร้างความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมการใช้รถของคนในท้องถิ่น ที่สำคัญเส้นทางที่ยากจะคาดเดาไม่สามารถทำให้รับรู้ล่วงหน้าได้ว่าการจราจรจะติดขัดหรือมีสภาพเส้นทางเป็นเช่นไร พระเอกของวันแรกอยู่ที่ระบบเนวิเกเตอร์ที่คอยทำหน้าที่ในการนำทางพร้อมกับแสดงภาพแบบ 3 มิติ ช่วยให้ผ่อนคลายความกดดันไปได้ไม่น้อย ตัวแปรสำคัญยังมีเรื่องของการปิดด่านข้ามแดน เพราะหากไปไม่ทันเวลา ก็อาจเป็นเหตุให้การเดินทางล่าช้าไป 1 วัน จากที่ใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 80-90 กม./ชม. จึงถูกปรับให้เป็น 110 กม./ชม. ไปโดยปริยาย แต่ทั้งหมดก็สามารถข้ามแดนมายังฝั่งไทยได้แบบฉิวเฉียด อัตราสิ้นเปลืองวันแรกจึงออกมาเป็นตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 5.2-5.8 ลิตร/100 กม.

สงขลา-ชุมพร

สภาพเส้นทางขึ้นเขา-ลงเนิน พิสูจน์ทั้งรถ และคน

สำหรับการแข่งขันวันที่ 2 ใช้เส้นทางจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มุ่งหน้าสู่ อ.เมือง จ.ชุมพร ระยะทาง 500 กม. สภาพเส้นทางเริ่มคุ้นเคยซึ่งสามารถคาดเดาสภาพการจราจรได้ง่าย แต่ปัญหาใหญ่ คือ สภาพทางที่เป็นหลุมบ่อ มีการซ่อมผิวทางเป็นช่วงๆ รวมถึงการขับขี่แบบขึ้น และลงเนินเขา ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงเป็นอุปสรรคที่ต้องฟันผ่าตลอดการเดินทาง วันนี้ได้เห็นการทำงานระบบ BlueTEC HYBRID อย่างชัดเจนในช่วงความเร็วต่ำ โดยแสดงผลการใช้งานผ่านชุดแดชบอร์ด ระบบนี้จะตัดการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซลให้มาใช้พลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะทำงานในย่านความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. นอกจากนี้ยังปรับระบบการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะให้เป็นไปในรูปแบบการใช้งานของเกียร์ธรรมดาโดยปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่พวงมาลัย เพื่อปรับอัตราทดให้เหมาะสมกับสภาพทางลาดชัน สำหรับตัวเลขการใช้งานวันนี้ลดลงมาอยู่ที่ 4.6-5.2 ลิตร/100 กม.ในขณะที่ใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 70-90 กม./ชม.

ชุมพร-กรุงเทพฯ

ถึงปลายทางแบบไม่ต้องลุ้น แถมน้ำมันยังเหลือ

ระยะทางที่เหลือสำหรับการแข่งขันในวันสุดท้ายประมาณ 500 กม. กับน้ำมันเกือบๆ ครึ่งถัง เส้นทางในวันนี้ค่อนข้างจะสะท้อนการใช้งานแบบชีวิตคนเมืองได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการขับขี่บนพื้นราบผ่านเมืองใหญ่ที่มีการจราจรพลุกพล่าน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือ Cruise Control ตัวช่วยสำหรับการขับขี่ระยะทางไกลถูกเปิดใช้งานโดยควบคุมความเร็วอยู่ที่ 100-110 กม./ชม. อุปสรรคของการเดินทางสุดท้ายอยู่ในช่วงก่อนเข้าสู่เส้นชัยประมาณ 60 กม. เพราะมีการซ่อมแซมผิวทางจราจรบนถนนพระราม 2 รวมถึงสภาพการจราจรที่ติดขัด ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษและทำให้เวลาคลาดเคลื่อนไปจากกำหนดการพอสมควร แต่รถทั้ง 6 คันก็มายังจุดหมายปลายทางที่โชว์รูม เมโทร ออโต้เฮาส์ ได้โดยสวัสดิภาพและยังมีน้ำมันคงเหลืออยู่ในถังทุกคัน ค่าเฉลี่ยการใช้เชื้อเพลิงสำหรับการเดินทางวันสุดท้ายอยู่ที่ 4.0-4.6 ลิตร/100 กม. ใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 90-100 กม./ชม.

ปิดฉากการขับขี่ระยะไกล

ผู้ชนะทำสถิติ 4.3 ลิตร/100 กม.

ปิดฉากกิจกรรม “Mercedes-Benz E 300 BlueTEC HYBRID Test Drive Challenge” กับการขับขี่ระยะทางไกลตลอดเวลา 3 วัน ระยะทางกว่า 1,500 กม. ได้จบลงด้วยดีโดยที่รถทั้ง 6 คันมีน้ำมันคงเหลืออยู่ในถังและสามารถขับต่อได้ระยะทางอีกเกือบ 100 กม. สำหรับผู้ชนะเลิศการพิสูจน์สมรรถนะในครั้งนี้ ทำตัวเลขการประหยัดเชื้อเพลิงทั้ง 3 วันเฉลี่ยได้ 4.3 ลิตร/100 กม. ระยะทางรวม 1,486 กม.

การเดินทางในครั้งนี้เป็นการขับขี่ระยะไกลแบบขับรถข้ามประเทศ แน่นอนว่าตลอด 3 วัน กับระยะทางกว่า 1,500 กม.ที่ได้คลุกวงในกับ Mercedes E 300 BlueTEC HYBRID โดยเฉพาะการพิสูจน์สมรรถนะของระบบ BlueTEC HYBRID ซึ่งทำงานแบบลูกผสมระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลกับมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยให้การประหยัดเชื้อเพลิงทำได้เฉลี่ยกว่า 20 กม./ลิตร ในย่านความเร็ว 70-110 กม/ชม. โดยใช้รอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 รอบต่อนาที สะท้อนการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ตัวช่วยต่างๆ ที่มาพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยติดตั้งแบบคุณภาพคับแก้ว ซึ่งเรียนรู้และทำความเข้าใจได้ง่าย รถหรู เทคโนโลยีทันสมัยคันนี้ตอบโจทย์การประหยัดเชื้อเพลิงที่เป็นกระแสร้อนในโลกยนตรกรรมสำหรับวันนี้ได้อย่างโดนใจ

RELATED ARTICLES

Most Popular