Friday, March 29, 2024
HomeAuto TestTest DriveMercedes GLC เหมาะสมทุกที่ไปได้ทุกทาง

Mercedes GLC เหมาะสมทุกที่ไปได้ทุกทาง

เมื่อดาวสามแฉกต้องการสร้างฐานอำนาจใหม่ พร้อมกับรหัสบุกแนวรบในชื่อว่า GLC ซึ่งจะมารับหน้าที่และสานต่อการทำงานของ GLK โมเดลใหม่กับรหัสใหม่ เป็นอย่างไรบ้างมีคำตอบในการทดสอบรถคันนี้ใน 2 แบบ ทั้งบนถนนปกติและแบบออฟโรด สมรรถนะจะเป็นอย่างไร เรามีคำตอบ

เส้นทางในการขับขี่ครั้งไล่เรียงตั้งแต่เมือง Basel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สิ้นสุดที่เมือง Strasbourg ประเทศฝรั่งเศสเพื่อพักผ่อน 1 วัน ก่อนที่จะขับกลับเมือง Basel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้ง และขึ้นเครื่องอีกครั้งเพื่อบินมาที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี และต่อเครื่องเพื่อบินกลับประเทศไทย ทั้งหมดนี้เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงบนถนนของยุโรป และเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ ของรถคันนี้จากผู้ผลิตตัวจริงจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศเยอรมนี

งานครั้งนี้ค่ายดาวสามแฉกจัดรถให้ทดสอบกันแบบเต็มเหนี่ยว ครบทุกรสชาติความต้องการของผู้บริโภค โดยครั้งนี้มี Mercedes GLC ให้เลือกขับทั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส GLC250 ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น อีกคันเป็นลูกผสมแบบไฮบริดรหัส GLC350 e ที่เหลือเป็นเครื่องยนต์ดีเซลรหัส GLC220d และ GLC250d  ซึ่งรหัสตัวหลังจะเป็นขุมพลังที่นำเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย ทั้งนี้เพื่อแข่งขันกับคู่แข่ง BMW X3 xDrive20d ส่วนผลลัพธ์ของการแข่งขันจะเป็นอย่างไรคงต้องรอกันอีกนิด เชื่อว่าปลายปีนี้ได้เจอกันแน่นอน

ทำความรู้จักกันหน่อย

อย่างที่กล่าวไว้ตอนแรกว่า  GLC คือชื่อใหม่ของ GLK และเป็นคู่แข่งของ X3 โดยตรง ซึ่งการเข้ามาครั้งนี้ต้องการเปิดตลาดที่เมืองไทยอย่างเต็มตัว ด้วยหวังจะทำยอดขายได้ดี และสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคชาวไทย เฉกเช่นเดียวกับที่คู่แข่งเปิดตลาดและประสบความสำเร็จ การแนะนำตัวครั้งนี้จะได้รับเสียงตอบรับที่ดีแค่ไหน เราไปสำรวจรายละเอียดของตัวรถว่าเป็นเช่นไร

รูปลักษณ์ภายนอกของ Mercedes GLC มีเหลี่ยมมุมและสัดส่วนที่ลงตัว ผสมผสานระหว่างความหรูหราและความดุดัน ซึ่งเห็นได้จากกระจังหน้าแบบสามมิติ กันชนหน้า ช่องดักลม และไฟตัดหมอกด้านหน้า เส้นสายด้านหน้าแสดงสัญลักษณ์ถึงความแข็งแกร่ง และความเป็นตัวตนของดาวสามแฉกอย่างชัดเจน ด้วยโลโก้ตรงกลางบนลาย 2 แถบ ไฟหน้าแบบ LED Dynamic Headlamps

ด่านข้างของตัวรถมีเส้นสายเล็กๆ พอได้อารมณ์ พร้อมความลาดเอียงในเสา C และกระจกบานเล็ก ที่ทำให้ตัวรถดูยาวและกว้างขึ้น ล้ออัลลอยด์ลายซึ่งสอดรับกับด้านหลังที่มีกระจกบานใหญ่ รวมถึงไฟท้ายรูปทรงแบบเดียวกับ E-Class ที่เรียวงามและให้ความชัดเจนทุกมุมมอง รวมถึงท่อไอเสียปลายคู่สแตนเลสอันหรูหรา ทั้งหมดนี้ส่งผลให้บั้นท้ายของ GLC น่ามองและมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายไม่จัดแร็คหลังคาให้ด้วย ไม่งั้นจะดูดีและเป็นเลิศมากกว่านี้

โดยรวมต้องบอกว่าการมาของ GLC ครั้งนี้เพียบพร้อม ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีและหรูหรา อาจดูไม่แข็งแกร่งบึกบึนเท่ากับคู่แข่ง X3 แต่เชื่อว่าภาพรวมต่างๆ ที่เห็นจากภายนอก และชื่อเสียงของดาวสามแฉก น่าจะทำให้แฟนๆ ชื่นชอบได้อย่างแน่นอน

มีอะไรข้างในบ้าง

ความหรูหราเป็นเรื่องที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ดาวสามแฉกอยู่เสมอ ซึ่งในผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าง GLC จะครบเครื่องเหมือนกับโมเดลอื่นๆ หรือไม่ ก้าวเข้ามาในห้องโดยสารด้วยกันเลยครับ

สิ่งแรกที่ได้เห็นหลังจากเข้ามาในห้องโดยสาร ต้องบอกเลยว่าทุกอย่างล้วนคุ้นเคย เพราะไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้าหรืออุปกรณ์ต่างๆล้วนเหมือนกับรุ่น C-Class มีเพียงเรื่องการตกแต่งเท่านั้นที่แตกต่างออกไป หรือมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับความเป็นรถอเนกประสงค์พร้อมลุย วัสดุที่นำมาใช้ล้วนมึคุณภาพระดับ A เกือบทุกอย่าง สัมผัสแต่ละจุดล้วนสบายมือและนุ่มนวลน่าจับเป็นอย่างยิ่ง

อุปกรณ์ต่างๆ ที่จัดให้ในรถคันนี้ ล้วนให้ความชัดเจนในการใช้งานทั้งสิ้น เมื่อบวกกับการตกแต่งที่เน้นความหรู แต่ยังแฝงอารมณ์ความดุดันเล็กๆ ให้ได้รู้สึกบ้าง เบาะนั่งเป็นหนังนุ่มสบายกระชับ ระบบเครื่องเสียงที่มาอย่างครบถ้วนในแบบฉบับ MB Audio 20 ประกอบด้วยจอภาพขนาด 7 นิ้ว ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ช่อง ช่องเชื่อมต่อ SD Card 1 ช่อง ระบบนำทางพร้อมแผนที่จาก Garmin Map Pilot ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบบลูทูธ และระบบเชื่อมต่อกับ iPod และ iPhone และยังมีระบบเปิด-ปิดฝาท้ายอัตโนมัติให้อีกด้วย

นอกจากนี้ด้วยตัวถังที่เพิ่มขึ้นจาก GLK ในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความยาวเพิ่มขึ้น 131 มม.ที่ตัวเลข  4,656 มม. ส่วนความกว้างมากขึ้น 50 มม.ที่ตัวเลข 1,890 มม. ฐานล้อยาวขึ้น 118 มม. ด้วยตัวเลข  2,873 มม. ทำให้ห้องโดยสารด้านหลังมีพื้นที่วางขามากขึ้นอีก 34 มม. จึงขึ้นลงและนั่งอย่างสบายขาเป็นที่สุด รวมถึงพื้นที่เก็บสัมภาระที่จุได้มากถึง 550-1,600 ลิตร และมากขึ้นหากพับเบาะนั่งด้านหลังแบบ 1/3 หรือ 2/3 ตามต้องการ

เรียกว่าหากถามหาความสบายหรูหรา รถคันนี้จัดเต็มความต้องการอย่างแน่นอน เพียงแต่ทุกอย่างมีให้อัตโนมัติแต่ทำไมไม่มีระบบกุญแจอัตโนมัติให้ด้วย จึงยังขาดความสะดวกสบายไปอีกนิดเดียวเอง

พละกำลังเท่านั้นที่สำคัญ

ตามที่บอกไว้ว่างานนี้ Mercedes จัดหนักในเรื่องเครื่องยนต์ ด้วยขุมพลังเบนซินรหัส GLC250 กับลูกผสมไฮบริด GLC350 e ที่เหลือเป็นเครื่องยนต์ดีเซลรหัส GLC220d และ GLC250d ซึ่งดีเซลทั้งสองคันเราได้ลองขับแต่จะของกล่าวถึงรหัส GLC250d เพราะรหัสนี้จะเป็นขุมพลังที่จะนำมาขายในเมืองไทย

การได้ขับขี่ GLC กับเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร ที่ให้กำลัง 204 แรงม้า เพียงแต่ครั้งนี้มาดีกว่าด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ซึ่งเป็นของใหม่ที่ยังไม่เคยมีใช้ในโมเดลไหนที่จำหน่ายในเมืองไทย แม้กระทั่งรุ่นสุดยอดอย่าง S-Class และการมีระบบเกียร์ใหม่กับตัวช่วยที่จัดให้อย่างเต็มเปี่ยม พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ที่จะช่วยให้คุณมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น นอกจากนี้หากคุณต้องการลุยอย่างจริงจังสไตล์ออฟโรด คุณสามารถเพิ่มออฟชั่นออฟโรดให้กับรถคุณได้ เพียงแต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อยสำหรับคำว่า “ออฟโรด”

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีระบบออฟโรดเข้ามาหรือไม่ แต่การไปทดสอบครั้งนี้เรามีเรื่องราวมานำเสนอให้กับผู้อ่าน สำหรับระบบที่ช่วยให้คุณขับลุยทางขรุขระ ปีนไต่ความสูงหรือลงทางลาดชันได้อย่างสบาย แม้คุณจะไม่ใช่มืออาชีพก็ตาม เพราะระบบนี้จะช่วยให้คุณผ่านทุกอย่างไปด้วยดี และง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสเท่านั้น

ขุมพลังกับสมรรถนะที่จัดให้อย่างครบครันในการใช้งาน ทั้งแบบออนโรดและแบบออฟโรด น่าจะเป็นอะไรที่สร้างจุดขายให้กับรถคันนี้ได้อย่างน่าสนใจทีเดียว

กำลังการขับขี่เป็นเช่นไร

ด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับขุมพลัง 2.2 ลิตร จึงไม่ต้องเรียนรู้อะไรมากมาย เพียงแต่ต้องการรู้อะไรเพิ่มเติมกับการเปลี่ยนแปลง ระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่และตัวถังใหม่ที่มีน้ำหนักมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้รถคันนี้ขับขี่เป็นอย่างไร

จากเส้นทางสายแรกที่ออกจากสนามบิน เป็นเส้นทางสไตล์ยุโรปแบบแคบและคดเคี้ยว ผสมผสานกับทางแบบไฮเวย์ที่ทำความเร็วได้อย่างเต็มที่แต่ไม่เกิน 150 กม./ชม หรืออาจมากกว่าตามที่เห็นสมควรในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งบางครั้งโดไปถึง 190 กม./ชม. ทั้งหมดนี้ทำให้ได้รู้จักความหนึบที่พอเหมาะ และไม่แข็งกระด้างของช่วงล่างในรถคันนี้ เนื่องจากการปรับเซ็ตช่วงล่างของ GLC ทำได้อย่างลงตัว ทั้งความเร็วต่ำในเมืองหรือความเร็วสูงบนถนนไฮเวย์ เรียกว่าสบายใจในการขับขี่และการโดยสาร

เรื่องของกำลังในการขับขี่ต้องบอกว่า GLC ทำได้ดีทีเดียว มีแรงขับเคลื่อนที่รวดเร็วตั้งแต่ต้น คุรสามารถเดินคันเร่งได้ตามความต้องการ หากอย่างเร่งแซงก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยกำลังที่เพียงพอในทุกรอบความเร็ว สร้างอัตราเร่งได้รวดเร็วและง่ายที่จะแซงรถคันหน้า ด้วยรอบเครื่องยนต์เล็กๆ 1,500 รอบ/นาที และต่อเนื่องอย่างมีกำลังในทุกจังหวะ และหากต้องการความร้อนแรงที่เพิ่มขึ้น คุณสามารถสั่งการได้ทันที เพราะพละกำลังของเครื่องยนต์ทำงานได้รวดเร็ว ไม่เสียจังหวะในการใช้งานแต่อย่างใด จึงช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการ

พละกำลังที่มาอย่างรวดเร็วและเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ได้อัตราเร่งที่น่าพอใจในทุกๆ รอบ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รถคันนี้น่าสนใจมากขึ้น เห็นจะเป็นเรื่องของระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็วและให้ความกระชับในการทำงาน มีความต่อเนื่องโดยไม่สะดุดและให้ความลื่นไหลในทุกจังหวะของการขับขี่ เป็นอะไรที่ให้คุณสบายใจและปลอดภัยในการขับขี่ทุกเส้นทาง ตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นในแต่ละช่วงเวลาของการขับขี่

ไหวมั้ยกับเส้นทางออฟโรด

แม้ว่าจะเป็นการขับขี่ช่วงสั้นๆ ในแบบออฟโรด แต่ทั้งหมดนี้เพื่อให้ได้รู้จักระบบการทำงานอย่างชัดเจนของแพ็กเกจเสริมออฟโรดว่า…ทำงานอย่างไรและใช้อย่างไรให้เป็น เพื่อความสบายในการลุยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ขั้นแรกเริ่มจากการกดปุ่มการทำงานเข้าสู่ระบบออฟโรดอย่างแท้จริง ซึ่งระบบจะโชว์การทำงานให้เห็นบนจอภาพ ตัวรถจะถูกยกขึ้นอัตโนมัติประมาณ 15 มม.เพื่อการปีนไต่ทางลาดชันได้สะดวกขึ้น ซึ่งเป็นด่านแรกที่ได้เจอในการขับขี่ครั้งนี้ โดยกำลังของเครื่องยนต์ทำงานเพียงเล็กน้อยก็สามารถไต่ขึ้นได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะแสดงภาพให้เห็นที่จอภาพ เพื่อให้คุณได้ควบคุมพวงมาลัยได้อย่างแม่นยำ ไปในทิศทางที่ถูกต้องและปลอดภัย รวมถึงการลงทางลาดชันโดยไม่ต้องเหยียบเบรก ระบบจะช่วยดึงตัวรถให้เคลื่อนตัวลงอย่างช้าๆ โดยไม่มีอาการสะดุดอย่างรุนแรงให้ได้รู้สึก แต่ทั้งหมดจะเป็นไปอย่างเรียบๆ และสบายๆ ทำให้ตัวรถเคลื่อนตัวลงอย่างงามสง่า

ด่านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลุ่มบ่อเอียงซ้ายเอียงขวา รถคันนี้ผ่านไปได้อย่างนิ่มนวล แค่เพียงกดคันเร่งเบาๆเท่านั้น ระบบขับเคลื่อนจะทำงานและส่งกำลังไปที่ล้อแต่ละล้ออย่างเพียงพอ เพื่อให้ตัวรถเคลื่อนตัวไปได้ตามที่ต้องการ ไม่เพียงเท่านั้นรถคันนี้สามารเอียงตัวทำมุมได้สูงสุดถึง 35 องศา และนั่นทำให้คุณขับขี่ผ่านทางแคบแบบเอียงตัวได้อย่างสบาย โดยที่ไม่มีปัญหาการกระทบตัวรถแต่อย่างใด

อาจกล่าวได้ว่าระบบออฟโรดของ Mercedes GLC คันนี้ ครอบคลุมการทำงานทุกรูปแบบ จึงทำให้ทุกอย่างเป็นอะไรที่ง่าย และไม่ยุ่งยากเลยสักนิด คุณจึงเป็นมืออาชีพได้อย่างเต็มภาคภูมิ

RELATED ARTICLES

Most Popular